ธปท.โยนคณะทำงานของคลังตัดสินจะคุมการซื้อขายทองคำหรือไม่ ระบุประชุมครั้งแรกในเดือนต.ค.นี้ ย้ำเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นยังเติบโตได้

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังปาฐกถาเรื่อง “ระบบเศรษฐกิจการเงินโลกและการปรับตัวของไทย” ในงาน AIT Charity Dinner Talk เมื่อคืนที่ผ่านมา ว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถให้ข้อมูลความเห็นเรื่องการจะเข้าไปกำกับดูแลการซื้อขาย ทองคำได้ เพราะตอนนี้ทางกระทรวงการคลังได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลเรื่องนี้เป็นการ เฉพาะอยู่แล้ว โดยคณะทำงานชุดนี้มี นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นประธาน

“หากผู้ค้าทองอยากจะเข้าหารือเพื่อเคลียร์ประเด็นต่างๆ คงต้องรอเข้าหารือกับทางคณะทำงานเอง คงไม่ต้องมาหารือกับธปท.แล้ว ถามว่าถ้าธปท.ห่วงการค้าทองคำจะกระทบอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ หรือเห็นด้วยกับข้อเสนอของสมาคมผู้ค้าทองคำ ที่สนอให้ตั้งตลาดโกลด์สปอร์ตขึ้นมาดูแลจะได้หักชำระราคาไม่ให้กระทบค่าเงิน นั้น ผมว่าตอนนี้เรามีคณะทำงานอยู่ที่กระทรวงการคลัง ซึ่งผู้อำนวยการ สศค.เป็นประธาน ขอให้คณะทำงานได้ทำงานก่อน เพราะประชุมครั้งต่อไปก็ประมาณเดือนต.ค.นี้แล้ว ” นายประสารกล่าว

นายประสาร กล่าวว่า  ส่วนการหารือคณะทำงานจะใช้เวลานานแค่ไหน เพราะทางผู้ค้าทองคำก็ต้องการจะรู้กติกาที่ชัดเจนนั้น ผมมองว่าเท่าที่ดูตอนนี้ก็คงไม่น่ามีใครเดือดร้อน ส่วนที่ผู้ค้าทองคำบอกว่าถ้ากติกาในประเทศไทยไม่ชัดเจนอาจจะมีการย้ายโป รเกอร์การค้าทองคำไปที่ประเทศสิงคโปร์นั้น ผมคิดว่าให้คณะทำงานเป็นคนพูดเป็นคนชี้แจงจะดีกว่า

นอกจากนี้ นายประสาร กล่าวปาฐกถาในงานสมาคมนักเรียนเก่าสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย(AIT) ว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจุบันที่มีความผันผวนในตลาดการเงินโลกค่อนข้างมาก จนทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น มองว่าแนวคิดเรื่องการปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเงิน (คิวอี)ของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) น่าจะค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ปรับดีขึ้นเป็นลำดับ ล่าสุดแม้เฟดยังยืนยันที่จะทำคิวอีที่ระดับเดิมคือ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ด้วยความอ่อนไหวต่อข่าวสารของตลาดการเงิน ยังทำให้ธนาคารกลางกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้ง ธปท.ยังต้องระมัดระวังและคอยติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลความผันผวนไม่ให้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคเศรษฐกิจจริง

“การแก้ไขปัญหาของสหรัฐฯถึงที่สุดต้องยึดผลประโยชน์ของสหรัฐเอง แม้ช่วงหลังจะคำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศเล็กบ้าง จึงได้มีการช้ำตลาดให้ทราบถึงแผนการปรับนโยบายอยู่เนืองๆ แต่ก็ก็มีการดำเนินนโยบายที่พลิกโผเช่นนี้ผ่านมาไม่ได้ปรับลดคิวอีตามที่ ตลาดคาด ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ เราต้องรักษาความยืดหยุ่นของนโยบายที่มีอยู่ โดยรักษาให้มีพื้นที่ที่เพียงพอในการทำนโยบาย(policy space) ในแง่ของนโยบายการเงินก็ต้องสามารถจะลดดอกเบี้ยได้อย่างเหมาะสม ตามสภาวะเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการมีเครื่องมือและมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน และในแง่ของนโยบายการการคลัง คือสามารถในการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจำเป็นต้องรักษาการขาดดุลและระดับหนี้สาธารณะไม่ให้สูงจนเกินไป” นายประสารกล่าว

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังต้องท้าทายกับ ภาวะที่เศรษฐกิจเอเชียดูเหมือนจะไม่เข้มแข็งเท่ากับที่เคยคาดการณ์ไว้ สะท้อนจากจีนชะลอ อินเดียและอินโดนีเซีย มีปัญหาขาดดุลการชาระเงิน การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักก็ยังมีความไม่แน่นอน และล่าช้ากว่าที่คิด ทั้งหมดนี้ ส่งผลย้อนให้ภาพการส่งออกของไทยเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาด และเมื่อรวมกับการใช้จ่ายภายในประเทศที่ชะลอลงหลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาครัฐเริ่มทยอยหมดลง ทำให้แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยเองไม่สดใสเหมือนที่ผ่านมา จึเป็นต้องดูแลปรับปรุงเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนการเติบโต (driver of growth )ควบคู่ไปกับการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจและรากฐานที่ดีให้กับเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ธปท.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะชะลอลงบ้าง แต่คงไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างที่หลายคนมีความกังวล ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน ในระยะหลังมานี้ การขยายตัวของสินเชื่อก็ลดความร้อนแรงลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนลงได้บ้าง ทั้งนี้ สถาบันการเงินส่วนใหญ่ เห็นว่าสินเชื่อจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าผู้ประกอบการและประชาชนจะยังมีสภาพคล่องหล่อเลี้ยงใน ยามที่เศรษฐกิจชะลอตัว

สำหรับส่วนความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย ธปท.ยังติดตามดูอย่างใกล้ชิด จึงขอให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจการเงินไทยในวันนี้แตกต่างจากสถานการณ์ปี 2540 อย่างสิ้นเชิง เพราะระบบอัตราแลกเปลี่ยนมีความยืดหยุ่น สถาบันการเงินก็เข้มแข็ง มีระบบกากับตรวจสอบที่ดูแลความเสี่ยงที่รอบด้านมากขึ้น มีกันสำรองอย่างเพียงพอ มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง ตลอดจนพื้นฐานระบบเศรษฐกิจการเงินไทยในปัจจุบันก็มีความยืดหยุ่นและมี ประสิทธิภาพเพียงพอในการรับมือกับความผันผวนของเงินทุนได้ และสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพในระยะสั้น แต่เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว เพื่อก้าวให้พ้นจากกับดักของประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ผลสำรวจของ World Economic Forum ล่าสุดเมื่อต้นเดือนก.ย.นี้ พบว่า อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่ 37 แต่เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียดของ 3 ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดขีดความสามารถในการแข่งขัน จะพบว่าไทยเป็นประเทศที่คะแนนด้านปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยการเพิ่มประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูง แต่ปัจจัยนวัตกรรมและศักยภาพทางธุรกิจไทยอยู่ในระดับต่ำเพียง 3.83 จากคะแนนเต็ม 7 เมื่อเทียบกับคะแนนของประเทศสิงคโปร์ที่ 5.17 หรือมาเลเซีย 4.70 หัวใจสำคัญของการยกระดับเศรษฐกิจของไทยจึงน่าจะเป็นการปรับตัวไปสู่การเป็น เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม

 

แหล่งข่าวจาก posttoday…